มงคลชีวิต 38 ประการ

Photo by <a href="https://unsplash.com/@robbie36?utm_source=unsplash&utm_medium=referral&utm_content=creditCopyText">Robert Collins</a> on <a href="https://unsplash.com/s/photos/happy-life?utm_source=unsplash&utm_medium=referral&utm_content=creditCopyText">Unsplash</a>
Photo by Robert Collins on Unsplash

มงคล คือ เหตุแห่งความสุขความก้าวหน้าในการดำเนินชีวิต ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ให้พุทธศาสนิกชนได้พึงปฏิบัตินำมาจากบทมงคลสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสตอบปัญหาเทวดาที่ถามว่าคุณธรรมอันใดที่ทำให้ชีวิตประสบความเจริญหรือมี “มงคลชีวิต” ซึ่งมี 38 ประการได้แก่

1.การไม่คบคนพาล

2.การคบบัญฑิต

3.การบูชาบุคคลที่ควรบูชา

4.การอยู่ในถิ่นอันสมควร

5.เคยทำบุญมาก่อน

6.การตั้งตนชอบ

7.ความเป็นพหูสูต

8.การรอบรู้ในศิลปะ

9.มีวินัยที่ดี

10.กล่าววาจาอันเป็นสุภาษิต

11.การบำรุงบิดา มารดา

12.การสงเคราะห์บุตร

13.การสงเคราะห์ภรรยา

14.ทำงานไม่ให้คั่งค้าง

15.การให้ทาน

16.การประพฤติธรรม

17.การสงเคระห์ญาติ

18.ทำงานที่ไม่ม่โทษ

19.ละเว้นจากบาป

20.สำรวมจากการดื่มน้ำเมา

21.ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย

22.มีความเคารพ

23.มีความถ่อมตน

24.มีความสันโดษ

25.มีความกตัญญู

26.มีการฟังธรรมตามกาล

27.มีความอดทน

28.เป็นผู้ว่าง่าย

29.การได้เห็นสมณะ

30.การสนทนาธรรมตามกาล

31.การบำเพ็ญตบะ

32.การประพฤติพรหมจรรย์

33.การเห็นอริยสัจ

34.การทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน

35.มีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม

36.มีจิตไม่เศร้าโศก

37.มีจิตปราศจากกิเลศ

38.มีจิตเกษม

1.การไม่คบคนพาล

อย่าคบมิตรที่พาล สันดานชั่ว จะพาตัว เน่าดิบ จนฉิบหาย แม้ความคิด ชั่วช้า อย่ากล้ำกราย เป็นมิตรร้าย ภายใน ทุกข์ใจครัน

ท่านว่าลักษณะของคนพาลมี 3 ประการคือ

1.คิดชั่ว คือการมีจิตคิดอยากได้ในทางทุจริต มีความพยาบาม และมิจฉาทิฏฐิ คือเห็นผิดเป็นชอบ

2.พูดชั่ว คือคำพูดที่ประกอบไปด้วย วจีทุจริต เช่น พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ และพูดเพ้อเจ้อ

3.ทำชั่ว คือทำอะไรที่ประกอบด้วยกายทุจริต เช่น การฆ่าสัตว์ ลักขโมย ฉ้อโกง ฉุดคร่าอนาจาร ประพฤติผิดในกาม

รูปแบบของคนพาลมีข้อสังเกตุคือ

1.ชอบแนะนำไปในทางที่ผิด

2.ชอบทำในสิ่งที่ไม่ใช่ธุระ อาทิเช่น ไม่ทำงานตามหน้าที่ของตนแต่ชอบจะไปก้าวก่ายยุ่งกับหน้าที่การงานของผู้อื่น หรือไปจับผิดเพื่อนร่วมงาน แกล้ง ยุยง นินทาว่าร้ายกันและกัน

3.ชอบทำผิดโดยเห็นสิ่งผิดเป็นของดี เช่น การสูบยาได้เป็นฮีโร่ เห็นคนที่ซื่อสัตย์เป็นคนโง่ ชอบรับสินบน ทุจริตในหน้าที่

4.จะโกรธเคืองเมื่อพูดเตือน เช่น การเตือนเรื่องการเที่ยวเตร่ การดื่มเหล้า กลับบ้านดึก

5.ไม่มีระเบียบวินัย เช่น ไม่เข้าคิวตามลำดับก่อนหลังแต่ชอบแซงคิว ทิ้งขยะลงคลอง หรือข้างทาง ไม่เคารพกฏหมายบ้านเมือง

2.การคบบัณฑิต

ควรคบหา บัณฑิต เป็นมิตรไว้ จะช่วยให้ พ้นทุกข์ สบสุขสันต์ ความคิดดี เลิศล้ำ ยิ่งสำคัญ ควรคบกัน อย่าเขว ทุกเวลา

บัณฑิต หมายถึงผู้ทรงความรู้ มีปัญญา มีจิตใจที่งาม และมีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องรู้ดี รู้ชั่ว (ไม่ใช่คนที่จบปริญญาโดยนัย) มีลักษณะดังนี้คือ

1.การเป็นคนคิดดี คือการไม่คิดละโมบ ไม่พยาบาลปองร้ายใคร รู้จักให้อภัย เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ ความกตัญญูรู้คุณเป็นต้น

2.เป็นคนพูดดี คือ วจีสุจริต พูดจริง ทำจริง ไม่โกหก ไม่พูดหยาบ ถากถาง นินทาว่าร้าย

3.เป็นคนทำดี คือทำอาชีพสุจริต มีเมตตา ทำทานเป็นปกตินิสัย อยู่ในศิลธรรม ทำสมาธิภาวนา

รูปแบบของบัณฑิตมีขอควรสังเกตุ คือ

1.ชอบชักนำในทางที่ถูกที่ควร

2.ชอบทำในสิ่งที่เป็นธุระ เช่นการทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วง และใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ไม่ก้าวก่ายเรื่องของผู้อื่นเว้นแต่จะได้รับการร้องขอ

3.ชอบทำและแนะนำสิ่งที่ถูกที่ควร เช่นการพูดและทำอย่างตรงไปตรงมา ทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น

4.รับฟังดี ไม่โกรธ เช่นเมื่อมีคนมาว่ากล่าวก็ไม่ถือโทษโกรธ หรือทำอวดดี แต่จะรับฟังแล้วนำไปพิจารณา โดยยุติธรรม แล้วนำมาแก้ไขปรับปรุง

5.รู้ระเบียบกฏกติกามารยาทที่ดี เช่นการรักษาระเบียบวินัยขององค์กร เพื่อให้หมู่คณะมีความเป็นระเบียบ และการดำเนินงานไม่สับสน หรือการรักษาความสะอาด ปฏิบัติและเคารพของสถานที่ ไม่ทำตามอำเภอใจ

3.การบูชาบุคคลที่ควรบูชา

ควรบูชา ไตรรัตน์ ขัตติเยศร์ ผู้วิเศษ ก่อเกื้อ เหนือเกศา ครูอาจารย์ เจดีย์ ที่สักการ์ ด้วยบุปผา ปฏิบัติ สวัสดิ์การ

การบูชา คือการแสดงความเคารพบุคคลที่เรานับถือยกย่องเลื่อมใสในบุคคลคนนั้น ซึ่งการบูชาแบ่งออกเป็น 2 อย่างคือ 1.อามิสบูชา คือการบูชาด้วยสิ่งของเช่น การนำเงินให้พ่อแม่ไว้ใช้จ่าย หรือมอบทรัพย์สินให้พ่อแม่ หรือการนำดอกไม้ ธูปเทียนไปบูชาพระก็ถือเป็นอามิสบูชา เป็นต้น 2.ปฏิบัติบูชา คือการบูชาด้วยการเจริญสมาธิภาวนา การฝึกจิตให้ไม่ฟุ้งซ่านเห็นความจริงในความจริงในความเป็นไปของโลกเป็นต้นบุคคลที่ควรบูชา มีดังนี้คือ

1.พระพุทธเจ้า

2.พระปัจเจกพระพุทธเจ้า หมายถึงพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา

3.พระมหากษัตริย์ผู้ตั้งอยู่ในทศพิศราชธรรม

4.บิดา มารดา

5.ครู อาจารย์ ที่มีความรู้ดี มีความสามารถและประพฤติดี

6.อุปัชฌาย์ หรือผู้บังคับบัญชาที่มี ความประพฤติดี ตั้งอยู่ในธรรม

4.การอยู่ในถิ่นอันสมควร

เป็นเมืองกรุง ทุ่งนา หรือป่าใหญ่ ทางมาไป ครบครัน ธัญญาหาร มีคนดี ที่ศึกษา พยาบาล ปลอดภัยพาล ควรอยู่กิน ถิ่นนั้นแล

ถิ่นอันสมควรควรประกอบด้วยสิ่งแวดล้อม 4 อย่างได้แก่

  1. อาวาสเป็นที่สบาย หมายถึง อยู่แล้วสบาย เช่น สะอาด เดินทางไปมาสะดวก อากาศดี เป็นแหล่งชุมชน ไม่มีแห่งอบายมุขเป็นต้น
  2. อาหารเป็นที่สบาย หมายถืง อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ เช่นมีแหล่งอาหารที่สามารถจัดซื้อหามาได้ง่ายเป็นต้น
  3. บุคคลเป็นที่สบาย หมายถึงที่ที่มีคนดี จิตใจโอบอ้อมอารี ถ้อยทีถ้อยอาศัย มีศิลธรรม ไม่มีโจร นักเลง หรือใกล้แหล่งอิทธิพลเป็นต้น
  4. ธรรมะเป็นที่สบาย หมายถึงมีที่พึ่งด้านธรรมะ มีที่ฟังธรรมเช่น มีวัดอยู่ในละแวกนั้น มีโรงเรียน หรือแหล่งศึกษาหาความรู้เป็นต้น

5.เคยทำบุญมาก่อน

กุศลบุญ คุณล้ำ เคยทำไว้ จะส่งให้ สวยเด่น เช่นดวงแข ทั้งทรัพย์ยศ ไม่ตรี มีเย็นแด เพราะกระแส บุญเลิศประเสริฐนัก

ขึ้นชื่อว่าบุญนั้น มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้คือ

1.ทำให้กาย วาจา ใจ สะอาดได้

2.นำมาซึ่งความสุข

3.ติดตามไปได้ หมายถึงบุญจะติดตัวเราไปได้ตลอดจนถึงชาติหน้า

4.เป็นของเฉพาะตน หมายถึงขอยืมหรือแบ่งกันไม่ได้ ทำเองได้เอง

5.เป็นที่มาของโภคทรัพย์ทั้งหลาย คือว่าผลของบุญจะบันดาลให้เกิดขึ้นได้เองโดยไม่ได้หวังผล

6.ให้มนุษย์สมบัติ ทิพย์สมบัติ และนิพพานสมบัติแก่เราได้ หมายถึงความสมบูรณ์ ตั้งแต่ทางโลกจนถึงนิพพานได้เลย

7.เป็นปัจจัยให้ถึงซึ่งนิพพาน ก็คือเป็นปัจจัยในการส่งเสริมให้บรรลุถึงนิพพานได้เร็วขึ้นเมื่อปฏิบัติ

8.เป็นเกราะป้องกันภัยในวัฏสังสาร หมายถึงในวงจรการเกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือที่เรียกว่าเวียยว่ายตายเกิดนั้น บุญจะคุ้มครองให้ผู้นั้นเกิดในที่ดี อยู่อย่างมีความสุขหรือตายอย่างไม่ทรมาน ขึ้นอยู่กับกำลังบุญที่สร้างสมมา การทำบุญนั้น มีหลายวิธี แต่พอสรุปได้สั้นๆดังนี้คือ 1.การทำทาน 2.การรักษาศิล 3.การเจริญภาวนา

6.การตั้งตนชอบ

ต้องตั้งตน กายใจ ในทางถูก เร่งฝังปลูก ตนไว้ ให้ถูกหลัก เมื่อตัวตน ยังมี เป็นที่รัก ควรพิทักษ์ ให้งาม ตามเวลา

หมายถึง การดำเนินชีวิตอย่างมีเป้าหมาย ด้วยความถูกต้องและสุจริต อยู่ในสัมมาอาชีพ มีแผนการที่จะไปให้ถึงจุดหมาย นั้นด้วยความไม่ประมาท มีการเตรียมพร้อมและมีความอดทน ไม่ละทิ้งกลางคัน

7.ความเป็นพหูสูตร

การสนใจ ใฝ่คว้า หาความรู้ ให้เป็นผู้แก่เรียน เพียรศึกษา มีศิลดี สติมั่น เกิดปัญญา ย่อมนำพา ตัวรอด เป็นยอดดี

คือ เป็นผู้ที่ฟังมากเล่าเรียนมากเป็นผู้รอบรู้ โดยมีลักษณะดังนี้

1.รู้ลึก คือ การรู้ในสิ่งนั้นๆ เรื่องนั้นๆ อย่างหมดจดทุกแง่ทุกมุมอย่างมีเหตุมีผล รู้ถึงสาเหตุจนเรียกว่าความชำนาญ

2.รู้รอบ คือ การรู้จักช่างสังเกตุในสิ่งต่างๆรอบตัว

3.รู้กว้าง คือ การรู้ในสิ่งใกล้เคียงกับเรื่องนั้นๆ ที่เกี่ยวข้องกัน สัมพันธ์กันเป็นต้น

4.รู้ไกล คือ การศึกษาถึงความเป็นไปได้ ผลในอนาคต เป็นต้น

ถ้าอยากเป็นพหูสูตก็ควรต้องมีคุณสมบัติดังว่านี้คือ

1.ความตั้งใจฟัง ก็คือชอบฟัง ชอบอ่าน หาความรู้ และค้นคว้า

2.ความตั้งใจจำ ก็คือรู้จักวิธีจำโดยตั้งใจอ่านหรือฟังในสิ่งนั้นและจับใจความให้ได้

3.ความตั้งใจท่อง ก็คือท่องให้รู้โดยอัตโนมัติ ในสิ่งที่เป็นสาระสำคัญ

4.ความตั้งใจพิจารณา ก็คือการรู้จักพิจารณาตรึกตรองในสิ่งนั้นอย่างทะลุปรุโปร่ง

5.ความเข้าใจในปัญหา ก็คือการรู้อย่างแจ่มแจ้งในปัญหาอย่างถ่องแท้ด้วยปัญญา

8.การรอบรู้ศิลปะ

ศิลปะ ต่างอย่าง ทางอาชีพ ควรเร่งรีบ เรียนรู้ ชูศักดิ์ศรี มีบางคน จนอับ กลับมั่งมี ฉลาดดี มีศิลป์ หากินพอ

ศิลปะ คือสิ่งที่แสดงออกถึงความงดงามและมีความสุนทรีย์ โดยลักษณะของมันมีดังนี้คือ

1.มีความปราณีต

2.ทำให้ของดูมีคุณค่ามากขึ้น

3.ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์

4.ไม่ทำให้เกิดกามกำเริบ

5.ไม่ทำให้เกิดความพยาบาท

6.ไม่ทำให้เกิดความเบียดเบียน

ถ้าท่านอยากเป็นคนมีศิลปะ ควรต้องฝึกให้มีคุณสมบัติเหล่านี้ไว้ในตัวคือ

1.มีศรัทธาในความงดงามของสิ่งต่างๆ

2.หมั่นสังเกตุและพิจารณา

3.มีความปราณีตอารมณ์ละเอียดอ่อน

4.เป็นคนสุขุม มีความคิดสร้างสรรค์

9.มีวินัยที่ดี

อันวินัย นำระเบียบ สู่เรียบร้อย คนใหญ่น้อย เปรมปรีดิ์ ดีนักหนา วินัยสร้าง กระจ่างข้อ ก่อศรัทธา เพราะรักษา กติกา พาร่วมมือ
ไม่พูดเท็จ พูดสอดเสียด และพูดมาก ละความยาก สร้างวิบาก ฝากยึดถือ คนหมู่มาก มักถางถาก ปากข่าวลือ ต้องสัตย์ซื่อ ถือวินัย ใช้ร่วมกัน

วินัย ก็คือข้อกำหนด ข้อบังคับกฏเกณฑ์เพื่อควบคุมให้มีความเป็นระเบียบนั่นเอง มีทั้งวินัยของสงฆ์ และของคนทั่วไป สำหรับของสงฆ์นั้นมีทั้งหมด 7 อย่างหรือเรียกว่า อนาคาริยวินัย ส่วนของบุคคลทั่วไปก็มี 10 อย่าง คือการละเว้นจากอกุศลกรรม 10 ประการ

อนาคารวินัยของพระมีดังนี้

1.ปาฏิโมกขสังวร คือการอยู่ในศิลทั้งหมด 227 ข้อ การผิดศิลข้อใดข้อหนึ่งก็ถือว่าต้องโทษ แล้วแต่ความหนักเบาเรียงกันไปตั้งแต่ขั้นปาราชิก สังฆาทิเลส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาสิต

2.อินทรีย์สังวร คือการสำรวมอายตนะทั้ง 5 และกาย วาจา ใจ

3.อาชีวปาริสุทธิสังวร คือการหาเลี้ยงในทางที่ชอบนั้นก็คือการออกบิณฑบาตร

4.ปัจจยปัจจเวกขณะ คือการพิจารณาในสิ่งของทั้งหลายถึงคุณประโยชน์อย่างแท้จริงโดยใช้บริโภคเพื่อความอยู่รอดเท่านั้น

วินัยสำหรับฆราวาส หรือบุคคลทั่วไป เรียกว่า อาคาริยวินัย มีดังนี้ (อกุศลกรรมบถ 10 ประการ)

1.ไม่ฆ่าชีวิตคน หรือสัตว์ไม่ว่าน้อยใหญ่

2.ไม่ลักทรัพย์ ยักยอกสิ่งของมาเป็นของตัว

3.ไม่ประพฤติในกาม ผิดลูกผิดเมีย ข่มขืนกระทำชำเรา

4.ไม่พูดโกหก หลอกลวงให้หลงเชื่อ

5.ไม่พูดส่อเสียด นินทาว่าร้ายยุยงให้คนแตกแยกกัน

6.ไม่พูดจาหยาบคายให้เป็นที่แสลงหูคนอื่น

7.ไม่พูดจาไร้สาระ หรือที่เรียกว่าพูดจาเพ้อเจ้อ ไม่มีสาระ

8.ไม่โลภอย่างได้ของเขามาเป็นของเรา

9.ไม่คิดร้าย ผูกใจเจ็บแค้น ปองร้ายคนอื่น

10.ไม่เห็นผิดเป็นชอบ เช่น เห็นว่าพ่อแม่ไม่มีความสำคัญ บุญหรือกรรมไม่มีจริงเป็นต้น

10.กล่าววาจาอันเป็นสุภาษิต

เปล่งวจี สัจจะ นวลละม่อม กล่าวเกลี้ยกล่อม ไพเราะ กาลเหมาะสม เจือประโยชน์ เมตตา ค่านิยม รื่นอารมณ์ ผู้ฟัง ดังเสียงทอง

คำว่าวาจาอันเป็นสุภาษิตในที่นี้มิได้หมายถึงเพียงว่าต้องการเป็นคำร้อยกรอง ร้อยแก้ว เป็นคำคมบาดใจมีความหมายลึกซึ้งเท่านั้น แต่รวมถึงคำพูดที่ดีมีประโยชน์ต่อผู้ฟัง ซึ่งสรุปว่าประกอบด้วยลักษณะดังนี้

1.ต้องเป็นคำจริง คือข้อมูลที่ถูกต้อง มีหลักฐานอ้างอิงได้ ไม่ได้ปั้นแต่งขึ้นมาพูด

2.ต้องเป็นคำสุภาพ คือพูดด้วยภาษาที่สุภาพมีความไพเราะในถ้อยคำไม่มีคำหยาบโลน หรือคำด่า

3.พูดแล้วมีประโยชน์ คือมีประโยชน์ต่อผู้ฟัง

4.พูดด้วยจิตที่มีเมตตา คือพูดด้วยจิตใจที่มีความปราถนาดีต่อผู้ฟัง

5.พูดได้ถูกกาลเทศะ คือพูดในสถานที่เหมาะสมและในเวลาที่เหมาะสม โดยความเหมาะสม

11.การบำรุงบิดามารดา

คนที่หา ได้ยาก มากไฉน เพราะว่าใน โลกนี้ มีเพียงสอง คือพ่อแม่ เกิดเกล้า เหล่าลูกต้อง ตอบสนอง พระคุณ ได้บุญแรง

ท่านว่าพ่อแม่นั้นเปรียบได้เป็นทั้ง ครูของลูก เทวดาของลูก พรหมของลูก และอรหันต์ของลูก ความหมายโดยละเอียดมีดังต่อไปนี้คือ ที่ว่าเป็นครูของลูกเพราะว่าท่านได้คอยอบรมสั่งสอนลูกเป็นคนแรก ก่อนคนอื่นใดในโลก ที่ว่าเป็นเทวดาของลูก เพราะว่าท่านจะคอยปกป้อง คุ้มครองเลี้ยงดูประคบประหงมมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก บำรุงให้เติบใหญ่เป็นอย่างดี ไม่ให้เกิดอันตรายต่อลูกในทุกด้าน ที่ว่าเป็นพรหมของลูก เพราะว่าท่านมีพรหมวิหาร 4 นั่นก็คือ

มีเมตตา หมายถึงความเอ็นดู ความปราถนาดีต่อลูกในทุกๆด้าน ไม่มีที่สิ้นสุด

มีกรุณา หมายถึงให้ความกรุณาต่อลูก ลูกอยากได้อะไรก็หามาให้ลูก ให้การศึกษาเล่าเรียน ส่งเสียเท่าที่มีความสามารถจะให้ได้

มีมุทิตา หมายถึงความรักที่ยอมสละได้แม้ชีวิตของตัวเองเพื่อลูก ยอมเสียสละได้ทุกอย่าง

และมีอุเบกขา หมายถึงการวางเฉย ไม่ถือโกรธ เมื่อลูกประมาท ชน ทำผิดพลาดเพราะความไร้เดียงสา หรือเพราะความไม่รู้

ที่ว่าเป็นอรหันต์ของลูก เพราะว่าท่านมีคุณธรรม 4 ประการอันได้แก่

เป็นผู้มีอุปการะคุณต่อลูก คืออุปการะลี้ยงดูด้วยความเหนื่อยยากกว่าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่

เป็นผู้มีพระเดชพระคุณต่อลูก คือให้ความอบอุ่น เลี้ยงดู ปกป้องจากภยันตรายต่างๆนานา

เป็นเนื้อนาบุญของลูก คือลูกเป็นส่วนหนึ่งของกรรมดีที่พ่อแม่ได้ทำไว้ และเป็นรับผลบุญที่พ่อแม่ได้สร้างไว้แล้ว ทางตรงเป็นอาหุไนยบุคคล คือเป็นเหมือนพระที่ควรแก่การเคารพนับถือและรับของบูชา

เพื่อเทอดทูนไว้เป็นแบบอย่างการทดแทนพระคุณบิดามารดา ท่านสามารถทำได้ดังนี้

1.ถ้าท่านยังไม่มีศรัทธาให้ท่านถึงพร้อมด้วยศรัทธา คือพยายามให้ท่านมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา เชื่อในเรื่องการทำดี

2.ถ้าท่านยังไม่มีศิล ให้ท่านถึงพร้อมด้วยศิล คือพยายามให้ท่านเป็นผู้รักษาศิล 5 ให้ได้

3.ถ้าท่านเป็นคนตระหนี่ ให้ท่านถึงพร้อมด้วยการให้ทาน คือพยายามให้ท่านรู้จักการให้ด้วยเมตตา โดยไม่หวังผลตอบแทน

4.ถ้าท่านยังไม่ทำสมาธิภาวนา ให้ท่านถึงพร้อมด้วยปัญญา คือ พยายามให้ท่านหัดนั่งทำสมาธิภาวนาให้ได้

12.การสงเคราะห์บุตร

เป็นมารดา บิดา ทำหน้าที่ ให้บุตรมี พำนัก เป็นหลักแหล่ง ส่งเสริมบุตร ธิดาตน กุศลแรง ย่อมส่องแสง เพิ่มพูน ตระกูลวงศ์

คำว่าบุตรนั้นมีอยู่ 3 ประเภทได้แก่

1.อภิชาติบุตร คือบุตรที่มีความดี คุณธรรม และความสามารถเหนือกว่าบิดา มารดา

2.อนุชาตบุตร คือบุตรที่มีความดี คุณธรรม และความสามารถเสมอบิดา มารดา

3.อวชาตบุตร คือบุตรที่มีความดี คุณธรรม และความสามารถต่ำกว่า บิดา มารดา

การที่เราเป็นพ่อเป็นแม่ของบุตรนั้น มีหน้าที่ที่ต้องให้กับลูกของเราคือ

1.ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว

2.ปลูกฝังสนับสนุนให้ทำความดี

3.ให้การศึกษาหาความรู้

4.ให้ได้คู่ครองที่ดี

5.มอบทรัพย์ให้ในโอกาสอันควร

13.การสงเคราะห์ภรรยา

มีคู่ครอง ต้องไม่ทำ ให้ซ้ำจิต จะพาผิด ไปข้าง ทางผุยผง ต้องสงเคราะห์ แก่กัน ให้มั่นคง รักยืนยง ด้วยกัน ถึงวันตาย

เมื่อว่าด้วยเรื่องคนที่จะมาเป็นคู่ครองของชาย หรือที่เรียกว่าจะมาเป็นภรรยานั้น ในโลกนี้ท่านแบ่งลักษณะของภรรยาออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่

1.วธกาภริยา หมายถึง ภรรยาเสมอด้วยเพชรฆาตเป็นพวกที่มีจิตใจคิดไม่ดี ชอบทำร้าย ชอบด่าทอสาบแช่ง คิดฆ่าสามีหรือมีชู้กับชายอื่น

2.โจริภริยา หมายถึง ภรรยาเสมอด้วยโจร เป็นคนล้างผลาญ สร้างหนี้สิน หาได้เท่าไหร่ ก็ไม่พอ หรือเอาเรื่องในบ้านไปโพทนาให้คนข้างนอกรับรู้ ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง

3.อัยยาภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยนาย เป็นคนชอบข่มสามีให้อยู่ในอำนาจ ไม่ให้เกียรติสามีเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น ชอบสั่งการหรือเอาแต่ใจตัวเอง เห็นสามีเป็นคนไร้ความสามารถ แต่ตัวเองเป็นผู้นำ

4.มาตาภริยา หมายถึง ภรรยาเสมอด้วยแม่

14.การทำงานไม่ให้คั่งค้าง

จะทำงาน การใด ตั้งใจมั่น อย่าผัดวัน ทำเล่น เช้า เย็น สาย ไม่ทิ้งคา อากูล มากมูลมาย เร่งคลี่คลาย ให้เสร็จ สำเร็จการ

ว่าด้วยสาเหตุที่ทำให้งานคั่งค้างนั้นสรุปสาเหตุได้เพราะว่า

1.ทำงานไม่ถูกกาล

2.ทำงานไม่ถูกวิธี

3.ไม่ยอมทำงาน

หลักการทำงานให้เสร็จลุล่วงมีดังนี้

1.ฉันทะ คือมีความพอใจในงานที่ทำ

2.วิริยะ คือมีความตั้งใจ พากเพียรในงานที่ทำ

3.จิตตะ คือมีความเอาใจใส่ในงานที่ทำ

4.วิมังสา คือมีการคิดพิจารณาทบทวนงานนั้นๆ

15.การให้ทาน

ควรบำเพ็ญ ซึ่งทาน คือการให้ ท่านว่าไว้ สวยงาม สามสถาน หนึ่งให้ของ สองธรรมะ ชนะมาร อภัยทาน ที่สาม งามเหลือเกิน

คือการให้ที่ไม่หวังผลตอบแทนโดยหมายให้ผู้ได้รับได้พ้นจากทุกข์ แบ่งออกเป็น 3 อย่าง ได้แก่

1.อามิสทาน คือการให้วัตถุ สิ่งของ หรือเงินเป็นทาน

2.ธรรมทาน คือการสอนให้ธรรมะเป็นความรู้เป็นทาน

3.อภัยทาน คือการให้อภัยในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ดีกับเรา ไม่จองเวรหรือพยาบาทกัน

การให้ทานถือว่าเป็นความดี ได้บุญมากนั้นจะประกอบด้วยปัจจัย 3 ประการอันได้แก่

1.วัตถุบริสุทธิ์ คือเป็นของที่ได้มาโดยสุจริต

2.เจตนาบริสุทธิ์ คือมีจิตยินดีผ่องใส ไม่รู้สึกเสียดายที่ให้ตั้งแต่ก่อนให้ ขณะให้และหลังให้

3.บุคคลบริสุทธิ์ คือให้กับผู้รับที่มีศิลธรรม ตัวผู้ให้เองก็ต้องมีศิลที่บริสุทธิ์ การให้ทานที่ถือว่าไม่ดี และยังอาจเป็นบาปกรรมถึงเราทางอ้อมอีกด้วยได้แก่ 1.ให้สุรา ยาเสพติด เป็นต้น 2.ให้อาวุธ 3.ให้มหรสพ คือการบันเทิงทุกรูปแบบ 4.ให้สัตว์เพศตรงข้ามเพื่อผสมพันธ์ุ นี้รวมถึงการจัดหาสาวๆไปบำเรอผู้มีอำนาจ 5.ให้ภาพลามกหรือสิ่งพิมพ์ลามก เพราะทำให้เกิดความกำหนัด เกิดกามกำเริบ

16.การประพฤติธรรม

การประพฤติ ตามธรรม คำพระสอน ไม่เดือดร้อน ถอนทุกข์ ยามฉุกเฉิน คนรักธรรม ธรรมรักษ์คน ผลเจริญ นั่ง ยืน เดิน นอน สุขทุกข์ไม่มี

การประพฤติธรรมก็คือการปฏิบัติให้เป็นไป แบ่งออกได้เป็น 2 อันได้แก่

กายสุจริต คือ 1.การไม่ฆ่าสัตว์ 2.การไม่ลักทรัพย์ 3.การไม่ประพฤติผิดในกาม

วจีสุจริต คือ 1.การไม่พูดเท็จ 2.การไม่พูดคำหยาบ 3.การไม่พูดจาส่อเสียด 4.การไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล

มโนสุจริต คือ 1.การไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น 2.การไม่คิดพยาบาทปองร้ายผู้อื่น 3.การเห็นชอบตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา

17.การสงเคราะห์ญาติ

เมื่อยามญาติ อัตคัด เกินขัดข้อง ควรหาช่อง สงเคราะห์ ไม่เลาะหนี เขาซาบซึ้ง ถึงคุณ อบอุ่นดี หากถึงที เราจน ญาติสนใจ

ลักษณะของญาติที่ควรให้การสงเคราะห์ เมื่ออยู่ในฐานะดังนี้คือ

1.เมื่อยากจนหาที่พึ่งมิได้

2.เมื่อขาดทุนทรัพย์ในการค้าขาย

3.เมื่อขาดยานพาหนะ

4.เมื่อขาดอุปกรณ์ทำมาหากิน

5.เมื่อเจ็บป่วยไข้ได้ป่วย

6.เมื่อคราวมีธุระการงาน

7.เมื่อคราวถูกใส่ความหรือมีคดี

การสงเคราะห์ญาติ ทำได้ทั้งทางธรรมและทางโลกได้แก่ ในทางธรรมก็ช่วยแนะนำให้ทำบุญกุศล ให้รักษาศิล และทำสมาธิภาวนา ในทางโลก ก็ได้แก่ 1.ให้ทาน คือการสงเคราะห์เป็นทรัพย์สินเงินทองเพื่อให้เข้าพ้นจากทุกข์ตามแต่กำลัง 2.ใช้ปิยวาจา คือการพูดเจรจาด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยน 3.มีอัตถจริยา คือการประพฤติตนให้เป็นประโยชน์กับเขา 4.รู้จักสมานัตตา คือการวางตัวให้เหมาะสมอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ร่วมทุกข์ร่วมสุข ไม่ถือตัว

18.ทำงานไม่มีโทษ

งานรับจ้าง ล้างชาม ก็ตามเถิด หากไม่เกิด โทษทัณฑ์ นั้นสดใส เมื่อได้ช่อง ต้องจำ กระทำไป ได้กำไร ทุกทาง ไม่ว่างงาน

งานที่ไม่มีโทษ ประกอบด้วยลักษณะดังต่อไปนี้

1.ไม่ผิดกฏหมาย คือทำให้ถูกต้องตามกฏหมายของบ้านเมือง

2.ไม่ผิดประเพณี คือแบบแผนที่ปฏิบัติกันมาแต่เดิม ควรดำเนินตาม

3.ไม่ผิดศิล คือข้อห้ามที่บัญญัติไว้ในศิล 5

4.ไม่ผิดธรรม คือหลักธรรมทั้งหลายอาทิเช่น การพนัน การหลอกลวง ส่วนอาชีพต้องห้ามสำหรับพุทธศาสนานิกชนได้แก่ 1.การค้าอาวุธ 2.การค้ามนุษย์ 3.การค้ายาพิษ 4.การค้ายาเสพติด 5.การค้าสัตว์เพื่อนำไปฆ่า

19.ละเว้นจากบาป

กรรมชั่วช้า ลามก ต้องยกเว้น หากขืนเล่น ด้วยกัน ถูกมันผลาญ งดเว้นบาป กำราบให้ ไกลสันดาน ในดวงมาลย์ ไม่ร้อน และอ่อนเพลีย

บาปคือสิ่งที่ไม่ดี เสีย ความชั่วที่ติดตัว ซึ่งไม่ควรทำ ท่านว่าส่งที่ทำแล้วถือว่าเป็นบาปได้แก่ อกุศลกรรมบถ 10 คือ

1.ฆ่าสัตว์

2.ลักทรัพย์

3.ประพฤติผิดในกาม

4.พูดเท็จ

5.พูดส่อเสียด

6.พูดคำหยาบ

7.พูดเพ้อเจ้อ

8.โลภอยากได้ของเขา

9.คิดพยาบาลปองร้ายคนอื่น

10.เห็นผิดเป็นชอบ

20.สำรวมจากการดื่มน้ำเมา

ของมึนเมา ทุกชนิด พิษคล้ายเหล้า ใครเสพเข้า น่าตำหนิ สติเสีย เกิดโรคร้าย แรงร้อน กายอ่อนเพลีย ใครงดเสีย เป็นสุข ไปทุกวัน

ว่าด้วยเรื่องของน้ำเมานั้นอาจทำมาจากแป้ง ข้าวสุก การปรุงโดยผสมเชื้อหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ดื่มแล้วทำให้มึนเมา เช่น เบียร์ ไวน์ ไม่ใช่แค่เหล้าเท่านั้น ล้วนมีโทษอันได้แก่

1.ทำให้เสียทรัพย์ เพราะต้องนำเงินไปซื้อหาทั้งๆที่เงินจำนวนเดียวกันนี้สามารถนำเอาไปใช้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างอื่นได้มากกว่า

2.ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทซึ่งนำไปสู่ความวุ่นวาย เจ็บตัว หรือถึงแก่ชีวิต และคดีความเพราะน้ำเมาทำให้ขาดการยับยั้งชั่งใจ

3.ทำให้เกิดโรค โรคที่เกิดเนื่องจากการดื่มสุราล้วนแต่บั่นทอนสุขภาพกายจนถึงตายได้เช่น โรคตับแข็ง

21.ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย

ไม่ประมาท คือมีสติพร้อม คอยหน่วงน้อม ธรรมคุณ ไม่ผลุนผลัน ธรรมอันใด ไม่ดี หลีกหนีพลัน ธรรมดีนั้น ยึดแน่น ไม่แคลนคลอน

ธรรมในที่นี้ก็คือ หลักปฏิบัติที่ทำแล้วมีผลในทางดี และเป็นจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงโปรดแนะทางไว้คนที่ประมาทในธรรมนั้นมีลักษณะที่สรุปได้ดังนี้คือ

1.ไม่ทำเหตุดี แต่จะเอาผลดี

2.ทำตัวเลว แต่จะเอาผลดี

3.ทำย่อหย่อน แต่จะเอาผลมาก

สิ่งที่ไม่ควรประมาทได้แก่

1.การประมาทในเวลา คือการปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยไม่ทำอะไรให้เกิดประโยชน์ หรือ ผลัดวันประกันพรุ่งเป็นต้น

2.การประมาทในวัยคือคิดว่าอายุยังน้อย ไม่ต้องทำความเพียรก็ได้เพราะยังต้องมีชีวิตอยู่อีกนานเป็นต้น

3.การประมาทในความไม่มีโรค คือคิดว่าตัวเองแข็งแรงไม่ตายง่ายๆ ก็ปล่อยปละละเลยเป็นต้น

4.การประมาทในชีวิต คือการไม่กำหนดวางแผนถึงอนาคต คิดอยู่แต่ว่ายังมีชีวิตอยู่อีกนานเป็นต้น

5.การประมาทในงาน คือไม่ขยันตั้งใจ ทำให้สำเร็จปล่อยตามเรื่องตามราวหรือปล่อยให้ดินพอกหางหมูเป็นต้น

6.การประมาทในการศึกษา คือการไม่คิดศึกษาเล่าเรียนในวัยที่ควรเรียน หรือขาดความเอาใจใส่ที่เพียงพอ

7.การประมาทในการปฏิบัติธรรม คือ การไม่ปฏิบัติสมาธิภาวนา หรือศึกษาหลักธรรมให้ถ่องแท้เพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว

22.มีความเคารพ

ความเคารพ นับถือ คือเสน่ห์ ไม่โลเล เหมือนลิง วิ่งหลอกหลอน ทั้งต่อหน้า ลับหลัง พึงสังวร ย่อมงามงอน สวยสง่า ราคาแพง

ท่านได้กล่าวว่าสิ่งที่ควรเคารพมีอยู่ดังนี้

1.พระพุทธเจ้า

2.พระธรรม

3.พระสงฆ์

4.การศึกษา

5.ความไม่ประมาท คือการดำเนินตามหลักธรรมคำสอนพระพุทธศาสนา อื่นๆ ด้วยความเคารพ

6.การสนทนาปราศรัย คือ การต้อนรับอาคันตุกะผู้มาเยือนด้วยความเคารพ

23.มีความถ่อมตน

ไม่พองลม ก้มหัว เจียมตัวด้วย มารยาทสวย นิ่มนวล สิ้นส่วนแข็ง เหมือนงูพิษ ถอดเขี้ยว หมดเรี่ยวแรง นอบน้อม พร้อมใจกาย

ความอ่อนน้อมถ่อมตน คือ การไม่แสดงออกถึงความสามารถที่ตัวเองมีอยู่ให้ผู้อื่นทราบเพื่อข่มผู้อื่น หรือเพื่อโอ้อวด การไม่อวดดี เย่อหยิ่งจองหอง แต่แสดงตนอย่างสงบเงี่ยม ท่านว่าไว้โทษของการอวดดีนี้มีอยู่ดังนี้

1.ทำให้เสียคน คือไม่สามารถกลับมาอยู่ในร่องในรอยได้เหมือนเดิม เสียอนาคต

2.ทำให้เสียมิตร คือไม่มีใครคบหาเป็นเพื่อนด้วย ถึงจะมีก็ไม่ใช่เพื่อนแท้

3.ทำให้เสียหมู่คณะ คือถ้าต่างคนต่างถือดี ก็ทำให้ไม่สามารถตกลงกันได้ ในที่สุดก็ไม่ถึงจุดหมาย หรือทำให้เป็นที่เบื่อหน่ายของคนอื่น

การทำตัวให้เป็นอ่อนน้อมถ่อมตนนั้นมีหลักดังนี้คือ

1.ต้องคบกัลยาณมิตร คือเพื่อนที่มีศิล มีธรรม คอยตักเตือน หรือชักนำไปในทางที่ดีที่ถูกที่ควร

2.ต้องรู้จักไตร่ตรอง คือการรู้จักคิดหาเหตุผลอยู่ตลอดถึงความเป็นไปในธรรมชาติของมนุษย์ ต่างคนยอ่มต่างจิตต่างใจ และรวมทั้งหลักธรรมอื่นๆ

3.ต้องมีความสามัคคี คือการมีความสามัคคีในหมู่คณะ อลุ่มอล่วยในหลักการตักเตือน รับฟัง และเคารพความคิดเห็นของผู้อื่นอย่างมีเหตุผล ท่านว่าลักษณะของคนถ่อมตนนั้นมีดังนี้ 1.มีกิริยาที่นอบน้อม 2.มีวาจาที่อ่อนหวาน 3.มีจิตใจที่อ่อนโยน สรุปแล้วก็คือ สมบูรณ์พร้อมด้วย กาย วาจา ใจนั่นเอง

24.มีความสันโดษ

ความสันโดษ พอใจ ในสิ่งของ เช่นเงินทอง ของตน แม้ล้นหลาย เมื่อมีน้อย จ่ายน้อย ค่อยสบาย ความจนหาย เลยลับ กลับมั่งมี

คำว่าสันโดษไม่ได้หมายถึงการอยู่ลำพังคนเดียวก็หาไม่ แต่หมายถึงการพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ในของของตัว ซึ่งท่านได้ให้นิยามที่เป็นลักษณะของความสันโดษเป็นดังนี้คือ

1.ยถาลาภสันโดษ หมายถึงความยินดี ตามมีตามเกิด คือมีแค่ไหนก็พอใจแค่นั้น

2.ยถาพลสันโดษ หมายถึงความยินดีตามกำลัง เรามีกำลังแค่ไหนก็พอใจเท่านั้น

3.ยถาสารูปสันโดษ หมายถึงความยินดีตามสมควร ซึ่งโยงใยไปถึงความเหมาะพอควรในหลายๆเรื่อง

25.มีความกตัญญู

กตัญญู รู้บุญคุณพ่อแม่ คนเฒ่าแก่ และอาจารย์ ท่านทรงศิล จอมมุนินทร์ ปิ่นเกล้า เจ้าธานี หาวิธี แทนคุณ สมดุลกัน

คือ การรู้คุณ และตอบแทนท่านผู้นั้น บุญคุณที่ว่านี้มิใช่ว่าตอบแทนกันแล้วก็หายกัน แต่หมายถึงการรำลึกพระคุณที่เคยให้ความอุปการะแก่เราด้วยความเคารพยิ่งท่านว่าสิ่งของ หรือผู้ที่ควรกตัญญูนั้นมีดังนี้

1.กตัญญูต่อบุคคล บุคคลที่ควรกตัญญูก็คือ ใครก็ตามที่มีบุญคุณควรระลึกถึงและตอบแทนพระคุณ เช่น บิดา มารดา อาจารย์ เป็นต้น

2.กตัญญูต่อสัตว์ ได้แก่ สัตว์ที่มีคุณต่อเราช่วยทำงานให้เรา เราก็ควรเลี้ยงดูให้ดีเช่นช้าง ม้า วัว ควาย หรือสุนัชที่ช่วยเฝ้าบ้าน เป็นต้น

3.กตัญญูต่อสิ่งของ ได้แก่สิ่งของทุกอย่างที่มีคุณค่าต่อเราเช่น หนังสือที่ให้ความรู้แก่เรา อุปกรณ์ทำมาหากินต่างๆ เราไม่ควรทิ้งขว้าง หรือทำลายโดยไม่เห็นคุณค่า

26.การฟังธรรมตามกาล

การฟังธรรม ตามกาล ผ่านมาถึง ควรคำนึง นิ่งนั่ง ฟังขยัน ย่อมจะเกิด ปัญญา สารพัน ตั้งใจมั่น ฟังดี นี่สมควร

เมื่อมีโอกาส เวลา หรือตามวันสำคัญต่างๆ ก็ควรต้องไปฟังธรรมบ้าง เพื่อสดับตรับฟัง สิ่งที่เป็นประโยชน์ในหลักธรรมนั้นๆ และนำมาใช้กับชีวิตเรา เพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น ท่านว่าเวลาที่ควรไปฟังธรรมนั้นมีดังนี้คือ

1.วันธรรมะสวนะ ก็คือวันพระ หรือวันที่สำคัญทางศาสนา

2.เมื่อมีผู้แสดงธรรม ก็อย่างเช่น การฟังธรรมตามวิทยุ การที่มีพระแสดงธรรมตามสถานที่ต่างๆ หรือการอ่านจากสื่อต่างๆ

3.เมื่อมีโอกาสอันสมควร อาทิเช่น ในวันอาทิตย์ เมื่อมีเวลาว่าง หรือในงานมงคล งานบวช งานวัดเป็นต้น

คุณสมบัติของผู้ฟังธรรมที่ดีควรมีดังนี้คือ

1.ไม่ดูแคลนในหัวข้อธรรมว่าง่ายเกินไป

2.ไม่ดูแคลนในความรู้ความสามารถของผู้แสดงธรรม

3.ไม่ดูแคลนในตัวเอง ว่าโง่ ไม่สามารถเข้าใจได้

4.มีความตั้งใจในการฟังธรรม และนำไปพิจารณา

5.นำเอาธรรมนั้นๆ ไปปฏิบัติให้เกิดผล

27.มีความอดทน

ความอดทน ตรากตรำ ยามลำบาก เจ็บไข้มาก ทนได้ ไม่โหยหวน ถูกเขาด่า ให้ฟัง นั่งหน้านวล ยิ้มเสสรวล ด้วยขันติ งานวิไล

ท่านว่าลักษณะของความอดทนนั้นสามารถจำแนกออกได้เป็นดังต่อไปนี้ คือ

1.ความอดทนต่อความลำบาก คือความลำบากที่ต้องประสพตามธรรมชาติ ซึ่งอาจมาจากสภาพแวดล้อมเป็นต้น

2.ความอดทนต่อทุกขเวทนา คือทุกข์ที่เกิดจากสังขารของเราเอง เช่นความไม่สบายกายเป็นต้น

3.ความอดทนต่อความเจ็บใจ คือการที่คนอื่นทำให้เราต้องผิดหวัง หรือพูดจาให้เจ็บช้ำใจ ไม่เป็นอย่างที่หวังเป็นต้น

4.ความอดทนต่ออำนาจกิเลส คือสิ่งยั่วยวนทั้งหลาย ถือเป็นกิเลสทั้งทางใจต่ออำนาจเงินเป็นต้น วิธีทำให้มีความอดทน คือมีหิริโอตัปปะ 1.หิริ ได้แก่การมีความละอายต่อบาป การที่รู้ว่าเป็นบาป แล้วยังทำดีอีกก็ถือว่าไม่มีความละอายเลย 2.โอตัปปะ คือการมีความเกรงกลัวในผลของบาปนั้นๆ

28.เป็นผู้ว่าง่าย

ควรเป็นคน สอนง่าย ไม่ตายด้าน ก่อรำคาญ ค่ำเช้า ไม่เข้าไหน ไม่ซัดโทษ ของตน ให้คนใด เมื่อมีใคร สอนพร่ำ ให้นำมา

ท่านว่าผู้ว่าง่ายนั้นมีลักษณะที่สังเกตุได้ดังนี้คือ

1.ไม่พูดกลบเกลื่อน เมื่อได้รับการว่ากล่าวตักเตือน คือการรับฟังด้วยดีไม่ใช่แก้ตัวแล้วปิดประตูทางความคิด ไม่รับฟัง

2.ไม่นิ่งเฉยเมื่อได้รับการเตือน คือการนำคำตักเตือนนั้นมาพิจารณาและแก้ไขข้อบกพร่องนั้นๆ

3.ไม่จับผิดผู้ว่ากล่าวสั่งสอน คือการที่ผู้สอนอาจจะมีความผิดพลาด เนื่องจากความประมาท เราควรให้อภัยต่อผู้สอน เพราะการจับผิดทำให้ผู้สอนต้องอับอายขายหน้าได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีงาม

4.เคารพต่อคำสอนและผู้สอน คือการรู้จักสัมมาคารวะต่อผู้ทำให้คำสอน และเคารพในสิ่งที่ผู้สอนและเคารพในสิ่งที่ผู้สอนได้นำมาแนะนำ

5.มีความอ่อนน้อมถ่อมตน คือไม่แสดงความยะโส ถือตัวว่าอยู่เหนือผู้อื่นเพราะสิ่งที่ตัวเองเป็น ตัวเองมี

6.มีความยินดีต่อคำสอนนั้น คือยอมรับในคำสอนนั้นๆ ด้วยความยินดีเช่น การไม่แสดงความเบื่อหน่ายเพราะเคยฟังมาแล้ว เป็นต้น

7.ไม่ดื้อรั้น คือการไม่อวดดีคิดว่าของตัวเองนั้นผิดแต่ยังดันทุรังทำต่อไป เพราะกลัวเสียชื่อ เสียฟอร์ม

8.ไม่ขัดแย้ง เพราะว่าการว่ากล่าวตักเตือน หรือสั่งสอนนั้นก็คือสิ่งที่ตรงข้ามกับที่เราทำอยู่แล้ว เราควรต้องเปิดใจให้กว้างไม่ขัดแย้งต่อคำสอน คำวิจารณ์นั้นๆ

9.ยินดีให้ตักเตือนได้ทุกเวลา คือการยินดีให้บริการแสดงความคิดเห็น ตักเตือนได้โดยไม่มีข้อยกเว้นเรื่องเวลา

10.มีความอดทน ต่อการเป็นผู้ถูกสั่งสอน คือการไม่เอาความขัดแย้งในความเห็นเป็นอารมณ์ แต่ให้เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของผู้สอนนั้น การทำให้เป็นคนว่าง่ายนั้นทำได้ดังนี้ 1.ลดมานะของตัว คือการไม่ถือดี ไม่ถือตัว ไม่สำคัญตัวเองว่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ 2.ละอุปาทาน คือการไม่ยึดถือในสิ่งที่เรามี เราเป็น 3.มีสัมมาทิฏฐิ คือมีปัญญาที่เห็นชอบการเห็นควรตามหลักอริยสัจ 4 เชื่อเรื่องความไม่เที่ยง เชื่อในเรื่องบุญเรื่องบาปเป็นต้น

29.การได้เห็นสมณะ

การพบเห็น สมณะ ผู้สงบ แล้วนอบนบ ถามไถ่ ไตรสิกขา หมั่นฝึกหัด ทุกวัน ด้วยปัญญา ย่อมชักพา จิตตรง มงคลมี

คำว่าสมณะแปลตรงตัวได้ว่า ผู้สงบ (หมายถึงผู้อยู่ในสมณเพศ) ท่านว่าคุณสมบัติของสมณะต้องประกอบได้วย 3 อย่างคือ

1.ต้องสงบกาย คือ มีความสำรวมในการกระทำทุกอย่าง รวมถึง กิริยา มารยาท

2.ต้องสงบวาจา คือ การพูดจาให้อยู่ในกรอบของความพอดี มีความสุภาพสงบเสงี่ยม ในคำพูดและภาษาที่ใช้

3.ต้องสงบใจ คือ การทำให้สงบปราศจากกิเลสครอบงำ ไม่ว่าจะเป็น โลภ โกรธ หลง หรือความพยาบาทใดๆตั้งมั่นอยู่ในสมาธิภาวนา การได้เห็นสมณะมีอยู่ดังนี้คือ 1.เห็นด้วยตา คือการเห็นจากการสัมผัสด้วยสายตาของตนเอง แล้วมีความประทับใจ 2.เห็นด้วยใจ เนื่องจากความสำรวมกายวาจาใจของสมณะจะช่วยโน้มน้ามจิตใจเราให้โอนอ่อนและรับฟังหลักคำสอนด้วยใจที่ยินดี 3.เห็นด้วยปัญญา หมายถึงการรู้โดยการใช้ปัญญาใคร่ครวญ พิจารณาในการสัมผัส เข้าถึงและรับรู้ถึงคำสอนของสมณะผู้นั้น เมื่อเห็นแล้วก็ต้องทำอย่างนี้คือ 1.ต้องเข้าไปหา คือเข้าไปขอคำแนะนำ ชี้แนะจากท่าน 2.ต้องเข้าไปบำรุงช่วยเหลือ คือการช่วยเหลือท่าน 3.ต้องเข้าไปฟัง คือการรับฟังคุณธรรม หลักคำสอนของท่านมาไว้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาชีวิต 4.หมั่นระลึกถึงท่าน คือการระลึกถึงความดีที่ท่านมี แล้วนำมาเป็นตัวอย่าง 5.รับฟังบรับปฏิบัติ คือการรับคำแนะนำของท่านมาปฏิบัติทำตามเพื่อให้เกิดผล

30.การสนทนาธรรมตามกาล

ยามหดหู่ ฟุ้งซ่าน กาลสงสัย เป็นสมัย ไต่ถาม ตามเหตุผล เพื่อบรรเทา คลี่คลาย หายกังวล ควรจะสนทนาธรรม ตามที่ควร

การได้สนทนากันเรื่องธรรม ทำให้ขยายขอบเขตการเรียนรู้ แลกเปลื่ยนความรู้ และได้รู้ในสิ่งใหม่ๆ หรือเป็นการเผื่อแผ่ความรู้ที่เรามีให้แก่ผู้อื่นได้ทราบด้วย ก่อนที่เราจะสนทนาธรรม ควรต้องพิจารณาและคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้คือ

1.ต้องรู้เรื่องที่จะพูดดี

2.ต้องพูดเรื่องจริง มีประโยชน์

3.ต้องเป็นคำพูดที่ไพเราะ

4.ต้องพูดด้วยความเมตตา

5.ต้องไม่พูดจาดโอ้อวด หรือยกตนข่มท่าน

ข้อปฏิบัติเมื่อมีการสนทนาธรรม

1.มีศิลธรรม คือการเป็นผู้ที่รักษาศิล 5 หรือศิล 8 เป็นนิจศิล เป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี

2.มีสมาธิดี คือการมีจิตใจจดจ่ออยู่กับเรื่องที่สนทนา เป็นผู้ที่หมั่นเจริญสมาธิภาวนาด้วย

3.แต่งกายสุภาพ คือการแต่งตัวให้เหมาะสมกับกรอบประเพณี และถูกกาลเทศะ

4.มีกิริยาสุภาพ คือมีการสุภาพในท่วงท่าไม่ว่าจะเดิน นั่ง ยืน

5.ใช้วาจาสุภาพ คือการใช้ถ้อยคำที่สุภาพในการสนทนา

6.ไม่กล่าวค้านพระพุทธพจน์ คือการไม่นำเอาคำสั่งสอบของพระพุทธเจ้ามาเป็นข้อสงสัย หรือกล่าวค้าน

7.ไม่ออกนอกประเด็นที่ตั้งไว้ คือการพูดให้อยู่ในหัวข้อที่ตั้งไว้ ไม่พูดแบบน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงแหรง

8.ไม่พูดนานจนน่าเบื่อ คือ การเลือกเวลาที่เหมาะตามสถานการณ์ เนื่องจากเรื่องบางเรื่องอาจไม่จำเป็นต้องขยายความมากเกินไป

30.การบำเพ็ญตบะ

พึงบำเพ็ญ ตบะ ละกิเลส อันเป็นเหตุ หักห้าม กามฉันท์ มุ่งทำลาย ถ่ายบาป สาปสูญพันธ์ เข้าสู่ชั้น สุโข โลกุตตรฌาน

ตบะ โดยความหมายแปลว่า ทำให้ร้อน ไม่ว่าด้วยวิธีใดๆ การบำเพ็ญตบะ หมายความถึงการทำให้กิเลส ความรุ่มร้อนต่างๆ หมดไปหรือเบาบางลง

ลักษณะการบำเพ็ญตบะมีดังนี้

1.การมีสำรวมในอินทรีย์ทั้ง 6 (อายตนะภายใน 6 อย่าง) ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ไม่ให้หลงคิดอยู่กับสัมผัสภายนอกมากเกินไป ไม่ให้กิเลสครอบงำใจเวลาที่รับรู้อารมณ์ผ่านอินทรัย์ทั้ง 6 (อินทรีย์สังวร)

2.การประพฤติรักษาพรหมจรรย์ เว้นจากการร่วมประเวณี หรือกามกิจทั้งปวง

3.การปฏิบัติธรรม คือการรู้และเข้าใจในหลักธรรมเช่น อรยสัจ เป็นต้น ปฏิบัติตนให้อยู่ในศิล และถึงพร้อมด้วยสมาธิ และปัญญา โดยมีจุดหมายสูงสุดที่พระนิพพาน กำจัดกิเลส ละวางทุกสิ่งได้หมดสิ้นด้วยปัญญา

32.การประพฤติพรหมจรรย์

เร่งประพฤติ พรหมจรรย์ อันประเสริฐ เพื่อให้เกิด สุขล้วน โดยถ้วนถี่ ตั้งแต่ทาน ถึงสิกขา บรรดามี สมบูรณ์ดี พรหมจรรย์ ย่อมมั่นคง

คำว่าพรหมจรรย์หมายความถึง การบวชซึ่งละเว้นเมถุน การครองชีวิตที่ปราศจากเมถุน การประพฤติธรรมอันประเสริฐ ท่านว่าลักษณะของธรรมที่ถือว่าเป็นการประพฤติพรหมจรรย์นั้น (ไม่ใช่ว่าต้องบวชเป็นพระ) มีอยู่ดังนี้คือ

1.ให้ทาน

2.ช่วยเหลือผู้อื่นในกิจการงานที่ชอบ

3.รักษาศิลห้า

4.มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

5.งดเว้นจากการเสพกาม

6.ยินดีในคู่ของตน คือการมีสามีหรือภรรยาคนเดียว

7.เพียรพยามยามที่จะละความชั่ว

8.รักษาซึ่งศิลแปด

9.ใช้ปัญญาเห็นแจ้งใน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

10.ศึกษาปฏิบัติในศิล สมาธิ ปัญญา ให้รู้แจ้งเห็นจริง

33.การเห็นอริยสัจ

การรู้เห็น ความจริง สิ่งเที่ยงแท้ ไม่ผันแปร สี่ชนิด ไม่ผิดหลง ตัดตัณหา มูลราก พรากทุกข์ลง เป็นการส่ง ข้ามฟาก จากสาคร

อริยสัจ หมายถึงความจริงอันประเสริฐ หลักแห่งอริยสัจมีอยู่ 4 ประการ ตามที่ท่านได้สั่งสอนไว้มีดังนี้

1.ทุกข์ คือความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ สัตว์โลกทุกผู้ทุกนามต้องมีทุกข์ 3 ประการคือ การเกิด ความแก่ ความตาย นอกจากนี้ก็มีความทุกข์ที่เป็นอาการ หรือเกิดจากสภาพแวดล้อม คือ ความโศกเศร้า(โสกะ) ความรำพันด้วยความเสียใจ(ปริเทวะ) ความเจ็บไข้ได้ป่วย(ทุกขะ) ความเสียใจ(โทมนัสสะ) ความท้อแท้ สิ้นหวัง คับแค้นใจ(อุปายาสะ) การตรอมใจ ผิดหวังจากสิ่งที่ไม่รัก(อัปปิเยหิ สัมปโยคะ) การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก(ปิเยหิ วิปปโยคะ) ความหม่นหมองเมื่อปราถนาแล้วไม่ได้สิ่งนั้น (ยัมปิจฉัง นลภติ)

2.สมุทัย คือเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ นอกจากเหตุแห่งทุกข์ดังที่กล่าวมาแล้ว ต้นตอของทุกข์ก็อยู่ที่ใจของเราด้วยนั่น ก็คือความอยาก ท่านว่าเป็นตัณหา 3 อย่างซึ่งแบ่งออกได้เป็นดังนี้คือ ความอยากได้(กามตัณหา) ความอยากเป็น(ภวตัณหา) ความไม่อยากเป็น(วิภวตัณหา)

3.นิโรธ คือความดับทุกข์ ภาวะที่ตัณหาดับสิ้นไป หมายถึง ภาวะของพระนิพพานนั่นเอง

4.มรรค คือข้อปฏิบัติ หรือหนทางที่นำไปสู่การดับทุกข์ การเดินทางสายกลางเพื่อไปให้ถึงการดับทุกข์ คือมรรคมี 8 ประการ คือ ความเห็นชอบ(สัมมาทิฐิ) ความดำริชอบ(สัมมาสังกัปปะ) เจราจาชอบ(สัมมาวาจา) ทำการชอบ(สัมมากัมมันตะ) เลี้ยงชีพชอบ(สัมมาอาชีวะ) ความเพียรชอบ(สัมมาวายามะ) ความระลึกชอบ(สัมมาสติ) จิตตั้งมั่นชอบ(สัมมาสมาธิ)

34.การทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน

ทำให้แจ้ง นิพพาน ผลาญสังโยชน์ ตรวจตราโทษ ธาตุ ขันธ์ หมั่นฝึกถอน เอาอรทัต มรรคญาณ เผาราญรอน ดับทุกข์ร้อน นิพพาน สำราญนัก

นิพพาน คือ ภาวะของจิตที่ดับกิเลสได้หมดแล้ว หลุดจากอำนาจกรรมและไม่ต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏอีก ซึ่งก็คือพ้นจากทุกข์นั่นเอง ลักษณะของนิพพานมีอยู่ 2 ระดับดังนี้คือ

1.การเข้าถึงพระนิพพานขณะที่มีชีวิตอยู่

2.การเข้าถึงพระนิพพานขณะที่ร่างกายเราแตกดับแล้วไปเสวยสุขอันเป็นอมตะในพระนิพพาน การที่จะเข้าถึงพระนิพพานได้ ก็ต้องปฏิบัติธรรมและเจริญสมาธิภาวนาจนถึงขั้นสูงสุด อานิสงฆ์ที่ใช้อารมณ์ใคร่ครวญถึงพระนิพพานนี้มีผลมาก เป็นปัจจัยให้ละอารมณ์ที่คลุกเคล้าด้วยอำนาจกิเลส และตัณหาเห็นโทษในวัฏฏะ เป็นปัจจัยให้แสวงหาทางปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ อันเป็นปฏิปทาไปสู่พระนิพพาน

35.มีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม

ท่านผู้ใด ใจดำรง อยู่คงที่ ในเมื่อมี โลกธรรม ครอบงำหนัก เช่น ลาภ ยศ สุข เศร้า เข้าง้างชัก มิอาจยัก โยกท่าน ให้หวั่นใจ

คำว่าโลกธรรม มีความหมายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่เป็นปรำจำบนโลกนี้ซึ่งเราไม่ควรมีจิตหวั่นไหวต่อสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ลักษณะของโลกธรรมมี 4 ประการคือ 1.การได้ลาภเสื่อมลาภ 2.การได้ยศเสื่อมยศ 3.การได้รับการสรรเสริญการถูกนินทา 4.การได้รับความสุข ความทุกข์

การทำให้จิตใจไม่ให้หวั่นไหวในโลกธรรม มีวิธีดังนี้คือ 1.ใช้ปัญญาพิจารณา โดยตั้งอยู่ในหลักธรรม พิจารณาอยู่เนืองๆ 2.เจริญสมาธิภาวนา ใช้กรรมฐานพิจารณาถึงความเป็นไปในความไม่เที่ยงในสรรพสิ่งทั้งหลาย

36.มีจิตไม่โศกเศร้า

คราวพลัดพราก จากญาติ ขาดชีวิต ถูกพิชิต จองจำ ทำโทษใหญ่ มีสติ คุมจิต เป็นนิตย์ไป ไม่เสียใจ โศกเศร้า เฝ้าประคอง

ท่านว่ามีเหตุอยู่ 2 ประการที่ทำให้จิตเราต้องโศกเศร้าคือ 1.ความโศกเศร้าที่เกิดเนื่องมาจากความรัก รวมถึงรักสิ่งของทรัพย์สินเงินทองด้วย 2.ความโศกเศร้าที่เกิดจากความใคร่ การทำให้จิตใจไม่โศกเศร้านั้น มีข้อแนะนำดังนี้

1.ใช้ปัญญาพิจารณาอยู่เนืองๆ ถึงความไม่เที่ยงในสิ่งของทั้งหลาย และร่างกายของเรา

2.ไม่ยึดมั่นในตัวตน หรือความจีรังยั่งยืนในคน หรือสิ่งของที่เป็นของเรา

3.ทุกอย่างในโลกล้วนเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ แม้ร่างกายเราก็ใช้เป็นที่อาศัยชั่วคราวเท่านั้น

4.คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่เที่ยงด้วยกันทั้งนั้น

37.มีจิตปราศจากกิเลส

หมดราคะ โทสะ โมหะแล้ว จิตผ่องแผ้ว เลิศดี ไม่มีสอง ย่อมมีค่า สูงจริง ยิ่งเงินทอง เหมือนสุรีย์ส่อง ท้องฟ้า สง่างาม

กิเลส ก็คือสิ่งที่ทำให้เกิดความเศร้าหมอง ซึ่งได้แก่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ท่านได้แบ่งประเภทของกิเลสออกเป็นดังนี้ คือ

1.ราคะ สามารถแบ่งย่อยได้เป็น

  • ความโลภอย่างแรงจนแสดงออกมา เช่นการลักขโมย ปล้น จี้ ข่มขืนกระทำชำเรา เป็นต้น
  • ความเพ็งเล็งจะเอาของคนอื่นมาเป็นของตัว มีใจอยากได้ของคนอื่นแต่ยังไม่ถึงกับแสดงออก
  • ความอยากได้ในทางไม่ชอบ เช่นการยอมรับสินบนการทุจริต เพื่อแลกกับการมีทรัพย์เป็นต้น
  • ความมักมากเห็นแก่ได้ ด้วยการเอามาเป็นของตนจนเกินพอดีโดยไม่คำนึงถึงคนอื่น
  • ความยินดีในกาม ก็คือยังไม่สามารถละกิจกรรมทางเพศได้ ยังมีความรู้สึก มีแรงกระตุ้น มีความพอใจในเรื่องเพศ
  • ความยินดีในรูปธรรมอันปราณีต ก็คือติดอยู่ในอารมณ์ของรูปฌาน ปราถนาในรูปแบบของภพเมื่อเมื่อทำสมาธิขั้นสูงขึ้นไป
  • ความยินดีในอรูปฌาน ก็คือติดอยู่ในอารมณ์ของอรูปฌาณเมื่อทำสมาธิถึงภพของอรูปพรหม

2.โทสะ สามารถแบ่งย่อยออกได้เป็น

  • พยาบาท คือการผูกใจอาฆาต มีใจที่ไม่หวังดี การจองเวร
  • โทสะ คือการคิดประทุษร้าย เนื่องด้วยมีใจพยาบาท
  • โกธะ คือความโกรธ ความเดือนร้อนใจ ซึ่งล้วนเป็นเหมือนไฟที่เผาตัวเอง
  • ปฏิฆะ คือความขัดใจ ความไม่พอใจอันทำให้อารมณ์หงุดหงิด

3.โมหะ สามารถแบ่งย่อยออกเป็น

  • ความเห็นผิดเป็นชอบ เช่นการไม่เชื่อในเรื่องบาป เรื่องบุญเป็นต้น
  • ความหลงผิด ไม่รู้ตามความเป็นจริง
  • การเห็นว่ามีตัวตน เช่นการเชื่อในสิ่งที่เห็นด้วยตาเปล่าเท่านั้น
  • ความสงสัย คือสงสัยในพระธรรมคำสั่งสอน ในเรื่องการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์
  • การยึดถืออย่างงมงาย เช่นการไปกราบไหว้สัมพเวสีที่อยู่ตามต้นไม้ ขอลาภเป็นต้น
  • ความถือตัว คือการสำคัญตัวเองผิดว่าเป็นอย่างโน้นเป็นอย่างนี้
  • ความฟุ้งซ่าน คือการที่จิตใจว่อกแวกคิดไม่เป็นสาระ ไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่มีสมาธิ หรือทำสมาธิไม่นิ่ง
  • ความไม่รู้จริง คือการที่รู้แค่ผิวเผิน หรือการทึกทักเอาเอง ไม่ปฏิบัติตามหลักพระธรรม

โทษของกิลสดังกล่าวข้างต้นพอสรุปได้สั้นๆ ดังนี้คือ 1.ราคะ มีโทษน้อย แต่คลายช้า 2.โทสะ มีโทษมาก แต่คลายเร็ว 3.โมหะ มีโทษมาก แต่คลายช้า

38.มีจิตเกษม

จิตเกษม เปรมปรีดิ์ ดีตลอด เป็นจิตปลอด จากโอฆ ในโลกสาม เครื่องผูกมัด สลัดหมด แสนงดงาม เข้าถึงความสุขสันต์ นิรันดร

เกษม หมายถึงมีความสุข สบาย หรือสภาพที่มีจิตใจที่เป็นสุข มีจิตเกษมก็คือว่ามีจิตที่เป็นสุขในที่นี้หมายถึง การละแล้วซึ่งกิเลส ที่ท่านว่าไว้ว่าเป็นเครื่องผูกอยู่ 8 ประการคือ

1.การละกามโยคะ คือ การละความยินดีในวัตถุ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายเรียกว่ากามคุณซึ่งประกอบด้วย รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส

2.การละภวโยคะ คือ การละความยินดีในภพ โดยให้เห็นว่าสิ่งใดๆในโลกล้วนไม่เที่ยงแท้ หรือคงอยู่ตลอดไป

3.การละทิฏฐิโยคะ คือ การละความยินดีในความเห็นผิดเป็นชอบ โดยให้ดำเนินตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า

4.การละอวิชชาโยคะ คือการละความยินดีในอวิชชาทั้งหลาย ความไม่รู้ทั้งหลาย โดยให้มุ่งปฏิบัติเพื่อปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง

ที่มา : มงคลชีวิต 38 ประการพระธรรมวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณฺโณ) วัดโสมนัสวิหาร